X'MAS JINHWI
สามทุ่มนิด ๆ ในคืนวันที่ 25 ธันวาคม ผมยืนอยู่หน้าผับแห่งหนึ่งเพื่อรอโต๊ะว่างสำหรับพวกเรา ความหวังริบหรี่ทำให้มีความคิดอยากเปลี่ยนไปร้านอื่น แต่สถานการณ์น่าจะไม่ต่างกับร้านที่พวกเรายืนอยู่ ใครจะรู้ล่ะว่าคืนคริสต์มาสโต๊ะจะเต็มตั้งแต่สองทุ่ม
ผมยืนรออีกประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ เป็นเวลาที่นานกว่าทุก ๆ คืนที่เคยรอ แต่ถึงอย่างนั้น เครื่องหัวที่ผมใส่อยู่ก็บังคับให้รอต่อ เพราะคืนคริสต์มาสแบบนี้ต้องฉลองและเมาเท่านั้น ใครไม่ไหวก็ไปก่อนเลยจ้า
“เห้ยมึง กูว่าพนักงานหาโต๊ะให้ไม่ได้หรอก แล้วดูที่ยืนรออีกหลายชีวิต” พี่จีซองพูดขึ้นหลังจากไปสำรวจพื้นที่ด้านใน
ผมกับเพื่อนอีก 2 คนถอนหายใจเบา ๆ “มาแล้วก็ไม่อยากกลับนะมึง”
“ไม่ให้กลับหรอก พอดีกูเจอคนรู้จัก ไปแชร์โต๊ะกับเขา พวกมึงโอเคไหม” ข้อเสนอของพี่จีซองทำให้เราหยุดคิด
“คิดเหี้ยไรเยอะ ได้แดกก็พอ โต๊ะไหนล่ะพี่ นำไปเลย” เป็นจีฮุนที่ตัดสินใจแทนพวกเรา
ผมพยักหน้าตามนั้น ก็แค่แชร์โต๊ะไม่ได้หารค่าเหล้าซะหน่อย อีกอย่างที่ร้านในวันนี้ก็สั่งปุ้ปจ่ายปั้ป ไม่น่ามีปัญหาเวลาจ่ายเงิน
“งั้นตามกูมา โต๊ะอยู่เกือบกลางร้านอ่ะ คนเยอะสัส” พี่จีซองอธิบายเล็กน้อยแล้วเดินนำ
ผมจัดเขากวางที่หนีบอยู่บนหัวให้แน่น ระหว่างที่เบียดจะได้ไม่หล่น และจะได้เพอร์เฟคเข้ากับธีมวันนี้ของร้าน
เราเดินตามกันเข้าไปจนถึงโต๊ะที่พี่จีซองบอก เอาจริงก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เด็กในมหาวิทยาลัยเดียวกันทั้งนั้น เพียงแค่ผมไม่ค่อยสนิท
“น้องแดฮวี !!”
คนที่หัวโต๊ะทักผมเสียงดัง ผมยิ้มหวานให้แทนคำทักทาย เพราะผมจำไม่ได้ว่าเคยคุยกับเขาก่อนหน้านี้หรือเขาเป็นใคร
“น่ารักจริงว่ะ” เสียงใครอีกก็ไม่รู้พูดขึ้น
กลายเป็นผมที่ทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างโต๊ะช่วยพี่จีซอง รายนี้รู้จักคนเยอะเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนพวกเขารู้จักผมได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน
เราแบ่งโต๊ะกันคนละครึ่ง พวกเขามีกัน 7 คน พวกผมมี 4 คน พี่จีซองนั่งที่หัวโต๊ะฝั่งของเรา ผมนั่งติดกับใครสักคนที่แม้ชื่อก็ไม่ได้ถาม และมีสักคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมด้วย ไม่รู้เขาไปไหน
เหล่าเครื่องดื่มน้ำเมาวางลงกลางโต๊ะ ผมเปิดก่อนคนแรกเพราะอดดื่มมาหลายวัน ช่วงก่อนหน้านี้ฝังตัวเองกับหนังสือและการสอบที่มหาโหด ผมถึงบอกว่าจะเมาให้ยับเลย
ปั่ก !
เสียงกระแทกรุนแรงดึงสายตาผมขึ้นไปมอง ชายหนุ่มในชุดดำกระแทกแก้วลงฝั่งเขาและกำลังนั่งลง มือข้างซ้ายของเขายกขึ้นเล็กน้อยแทนคำขอโทษ ผมไม่ได้ว่าอะไร หันกลับไปคุยกับเพื่อนและสนใจบรรยากาศรอบตัว
เสียงเพลง เสียงทักทายของดีเจ เสียงโต้ตอบระหว่างกันช่างไพเราะเหลือเกินเวลาที่เหล้าเข้าปาก ผมโยกหัวตามจังหวะเพลงพร้อมกับเพื่อนที่ตั้งใจมาปล่อยกันเต็มที่ ก่อนสายตาจะเผลอไปสบกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
เขามองผมด้วยแววตาที่นิ่งเฉย เหมือนตั้งใจจ้องผมทั้งที่เพื่อนของเขาก็เริ่มจะโยกตัวกันแล้ว ผมทำเป็นมองผ่าน ๆ แต่ไม่ว่าครั้งไหนที่เผลอมองไป เขาก็ยังจ้องผมอยู่เช่นนั้น
เราไม่รู้จักสักหน่อย แล้วคนแบบเขาน่ะ ไม่น่าใช่ประเภทที่เข้ามาเพื่อนั่งเฉย ๆ หรอก ผมมองออก
“คุณมองอะไร” ในที่สุดผมก็ถามออกไป
“มองเพื่อนร่วมโต๊ะ” เขาตอบเสียงเรียบ ๆ
ผมกระตุกยิ้มเล็กน้อย “ต้องจ้องขนาดนี้เลยเหรอ แค่ขอแชร์โต๊ะ”
“ทำไมต้องใส่เขากวาง” สายตาเขาเลื่อนจากใบหน้าผมขึ้นไปเล็กน้อย แล้วมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบอีกรอบ
“นี่คริสต์มาส ใคร ๆ ก็ใส่” ผมทำเป็นมองไปรอบ ๆ
เขาไม่แม้จะปรายตามองไปไหน กลับยิ้มมุมปากแล้วยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่ม
“แล้วทำไมไม่ใส่สีแดงด้วย”
คำถามของเขาทำให้ผมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “คุณยังใส่สีดำเลย”
เขาหัวเราะในลำคอคล้ายกับผม “ผมไม่ค่อยอิน แค่มากับเพื่อนเพื่อดื่มเฉย ๆ”
ผมวางแก้วเหล้าในมือลงบนโต๊ะแล้วขยับเข้าจ้องหน้าเขา เขาไม่ถอยเลยสักนิด ตั้งรับด้วยสายตาที่ซ่อนเสือไว้ด้านในอย่างชัดเจน
“ปกติคุณแค่ดื่มงั้นเหรอ”
“ถ้ามากกว่าดื่ม..” เสียงเข้มเว้นจังหวะแล้วขยับมากระซิบข้างใบหู “คุณจะร่วมด้วยไหม”
ผมหัวเราะพร้อมขยับตัวกลับเช่นเดิม มองหน้าเขาอีกสักนิด แล้วเผยความในใจ “ร้ายนะ”
“คุณก็น่าจะพอตัวเหมือนกัน”
ดวงตากลมละจากคนตรงหน้าไปหาเพื่อน พวกมันมองหน้าผมสลับกับคนตรงข้าม จีบปากจีบคอทำแซวตามประสาเพื่อนที่รู้กัน
ผมไม่ได้สนใจนัก ในเมื่อเสียงเพลงและแก้วเหล้าเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาในคืนนี้ ส่วนคนฝั่งตรงข้าม... เขาจะจ้องหน้าผมต่อก็ตามใจ ไม่ได้รบกวนความสุขของผมสักนิดเลย
เหล้า 1 ขวดที่เราเปิดและมิกเซอร์ที่เราสั่งมาตอนแรกหมดเกลี้ยง เราตกลงเปิดกันขวดที่ 2 แม้จะเริ่มมึน ๆ กันแล้ว ผมได้แคร์ที่ไหน เมาแค่ไหนผมก็พาตัวเองกลับได้
เว้นแต่ยอมให้คนอื่นพากลับอะนะ
พอเหล้าขวดที่ 2 ถูกเปิดและพร้อมสำหรับการสังสรรค์ อารมณ์ที่พุ่งพล่านของแต่ละคนเริ่มจะอยู่ไม่นิ่ง เพื่อนผมเริ่มจะทักทายคนอื่นไปทั่ว เริ่มเต้นตามจังหวะเพลง ซึ่งอีกสักนิดผมก็คงยืนขึ้นเต้นกับมัน
เรา 4 คนค่อนข้างเคยชินกับสถานการณ์ในสถานที่แห่งนี้ เราดื่มกันหนัก แล้วก็ปลดปล่อนกันสุดขีด จะมีเพื่อนคนหนึ่งที่ดื่มเบากว่าเพื่อน มีมันไว้แบกกลับบ้างบางครั้ง และมีบ้างที่เราไม่ได้กลับพร้อมกันทุกคน
ผมพักลงมาชงเหล้าให้เต็มแก้ว ปล่อยพวกเพื่อนมันสนุกกันไปก่อน จังหวะนั้นผมเริ่มมองไปรอบ ๆ เพื่อนร่วมโต๊ะที่เราขอแชร์ก็เหลือกันอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็ยังคงเป็นชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม
รอบนี้เขายกแก้วเหล้าขึ้นทักทาย ดูจะช้าไปหน่อยแต่ผมก็ยกตอบ ตามมารยาทผมควรคุยกับเขา และใช่... ผมเริ่มบทสนทนารอบนี้ด้วยประโยคเดิม
“ถามจริง จ้องหน้าไม่เบื่อเหรอ”
“จ้องอย่างอื่นน่าเบื่อกว่า จ้องคุณแทนแล้วกัน”
คำพูดของเขาคล่องคอเหมือนใช้เป็นประจำ ผมมองหน้าเขาพลางยิ้มมุมปาก
“จ้องนาน ๆ คิดเงินนะ”
เขากระตุกยิ้มแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมา “จะให้ผมโอนพร้อมเพย์หรือเลี้ยงทั้งโต๊ะดีล่ะ”
ผมล่ะยอมเขาเลย รู้แล้วล่ะครับว่ากำลังคุยอยู่กับเสือร้าย
“ปากดีนะ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นซะหน่อย”
เขาขยับตัวเข้าหาผมเล็กน้อย “ไม่ได้ดีแค่ปากหรอก อย่างอื่นก็ดี”
ผมยันตัวขึ้นจากโต๊ะแล้วขยับเข้าหาเขาอย่างท้าทาย “ถ้าดีไม่เท่า อย่าโม้ดีกว่า”
“ลองไหมล่ะครับ ผมไม่ชอบคำท้าทายซะด้วยสิ”
“ก็... พิสูจน์สิ ว่าดีจริงไหม”
คำท้าของผมราวกับเป็นคำเชื้อเชิญให้เสือตะปมเหยื่อ เพราะทันทีที่เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือหนาก็กระชับใบหน้าของผมเข้ารับจูบของเขาในทันที
ความร้อนของแอลกอฮอล์ยังไม่เท่าจูบของเขา ริมฝีปากเขาบดขยี้ริมฝีปากผมเหมือนเสือที่หิวกระหาย ผมจูบเขาตอบอย่างท้าทาย ดุนดันเรียวลิ้นเข้าในริมฝีปากร้อนเพื่อชิมรสเหล้าที่เขาชง พร้อม ๆ กับแย่งชิงลมหายใจของเขา
แต่มันไม่ง่ายเลย
เขาจูบเก่งชะมัด
เราผละออกจากกันตอนที่ลมหายใจแทบหมดปอด เขามองหน้าผมพลางยกเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่มจนหมดแก้ว กระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะ ...ที่เขาคงคิดไปเอง
“กลับก่อนเพื่อนอีกแล้วใช่ไหมมึง” พี่จีซองหันมาแซว
ผมยกยิ้ม มองไปที่เขาเล็กน้อย แล้วหันมามองพี่จีซองอีกรอบ
“คิดว่ามีเรื่องที่ต้องเคลียน่ะพี่”
ผมกระตุกยิ้มเล็กน้อย ยกเหล้าที่ชงค้างไว้ขึ้นดื่มบ้าง จังหวะนี้เพื่อนปล่อยผมแล้วล่ะครับ และดูท่าว่าพี่จีซองก็รู้จักกับเขาคนนี้ แอบเห็นยิ้มให้เล็ก ๆ และไม่มีคำเอ่ยห้ามจากพี่เขาด้วย
คืนนี้คงไม่ได้กลับพร้อมเพื่อนจริง ๆ ละนะ
เขานั่งลงที่เดิม คล้ายกับรอให้ผมพร้อม สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่ผม และจังหวะนั้นก็มีคนเดินเข้ามาทักผมพอดี
สงสัยหมอนี่จะไม่เห็นฉากจูบเมื่อกี้สินะ
“สวัสดีครับ” คนมาใหม่ทักขึ้น
“ครับ” ผมตอบเขาด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
“ขอโทษครับ แต่คุณคงทักผิดคนแล้ว”
เสียงอื่นแทรกเข้ามา ผมหันไปมองคนที่ยืนซ้อนหลังและทำหน้าตาจริงจังอยู่ มือหนายกขึ้นโอบไหล่เล็กอย่างชำนาน ผมแอบยิ้มเล็กน้อย
“เอ่อ..”
คนที่เพิ่งทักผมเมื่อครู่เริ่มเข้าใจสถานการณ์ เขายักไหล่ช้า ๆ แล้วเดินถอยหลังไป ถึงกระนั้นมือหนาก็ยังโอบที่ไหล่
ผมไม่รู้ว่าเขาเดินอ้อมโต๊ะมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูท่าทางเขาก็คงไม่ปล่อยง่าย ๆ ด้วย ผมเลยยันตัวเองขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพลิกตัวไปหาคนข้างหลัง
คิดไว้แล้วว่าเขาคงขังผมไว้ในอ้อมแขน เพราะสองแขนแกร่งยันตัวเองกับขอบโต๊ะ จ้องหน้าผมไม่วางตา
“หึงแล้วเหรอครับ” ผมแกล้งถาม
“คุณยังมีเรื่องค้างคากับผมอยู่นะ” เขาว่าเสียงเรียบ
ผมกัดปากยั่วเขาเล็กน้อย ร่างหนาถึงกับขยับเข้ามาใกล้เพื่อจะจูบอีกรอบ “ชอบโชว์หรือไงคุณ”
“แค่จูบ ไม่ใช่เรื่องแปลกในที่แบบนี้”
“แล้วถ้า...”
“ไปกับผมตอนนี้เลยสิครับ”
เขาถาม แต่เขาไม่ได้ต้องการคำตอบ เป็นเพียงคำบอกเล่าขณะที่ลากผมให้เดินตามออกไป
มือหนาจับกุมข้อมือผมตั้งแต่โต๊ะจนมาถึงลานจอดรถ ผมไม่ได้ขัดขืน ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็เพราะว่าผมรู้ ผมจึงมากับเขา
ผใยันมือตัวเองกับประตูรถของเขา ใบหน้าที่ต้องแสงสีขาวในลานจอดรถทอดมาที่ผมอย่างสงสัย
“ไม่ใช่บนรถ” ผมพูดเข้าประเด็น
เขายิ้ม จับมือผมออกอย่างระวัง “ผมให้เกียรติคุณอยู่แล้วครับ”
เมื่อเขาพูดจบ ผมก็นั่งลงในรถ ร่างสูงวิ่งมาขึ้นฝั่งคนขับแล้วพุ่งตัวไปบนถนนทันที
ผมไม่ได้ถามเขาหรอกว่าจะไปที่ไหน ถ้าอยู่ในรัศมี 10 กิโล ผมก็รู้จักทุกที่ เขาหันมองหน้าผมสลับกับถนน มือหนาเอื้อมมาจับมือผมไปกุมไว้ เขาคงอยากถึงที่หมายเต็มแก่
ผมรอจังหวะที่รถเราติดไฟแดง เป็นฝ่ายโอบคอเขามาจูบ แทรกลิ้นร้อนเข้าแกล้งเรียวลิ้นหนาอย่างซุกซน และก่อนที่ไฟแดงจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ร่างกายผมก็ลอยไปนั่งคร่อมบนตัวเขา
“อันตรายนะคุณ” เขากระตุกยิ้ม
“ขับรถไม่แข็งเหรอคุณ” ผมท้าทาย
เขาสลับเกียร์แล้วออกตัวทันที ความเร็วเร่งขึ้นเรื่อย ๆ ตามถนนที่ค่อนข้างโล่งในเวลาแบบนี้
“ลองจับสิ แล้วจะรู้ว่าแข็งไหม”
ผมยิ้มหวานให้เขา กดจมูกลงที่ข้างแก้ม ไล่ลงช้า ๆ ไปที่ลำคอแกร่ง เล้าโลมให้ร่างกายเขากระตุกเล่น พร้อม ๆ กับฝังร่องรอยของผมบนตัวเขาก่อน
เขาค่อนข้างขับรถได้ดีทีเดียว จะมีเป๋บ้างที่หน้าขาไปโดนส่วนนั้น เขามองค้อนใส่ผมเพียงวินาที มันอันตรายนั่นแหละ ผมรู้
แต่ผมอันตรายกว่า
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นรถก็แล่นเข้าในสถานที่แห่งหนึ่ง ผมไม่ทันดูว่าเป็นโรงแรมหรือคอนโด เขาวนรถขึ้นชั้นจอดหลายรอบจนขี้เกียจนับ เมื่อจอดรถเรียบร้อย มือหนาก็ดันตัวผมติดกับพวงมาลัยรถ สายตาของเขาตอนนี้พร้อมกลืนกินผมเต็มที่ แล้วริมฝีปากร้อนก็ทับลงมาที่ลำคอผมอย่างร้อนผ่าว
“อ่ะ !”
ความเจ็บทำให้ผมร้องออกมา เขาทำรอยไว้แน่ ซึ่งน่าจะเป็นรอยฟัน...
มือหนาเปิดประตูรถออก อุ้มผมลงก่อนแล้วเขาก็ตามลงมา เพิ่งสังเกตว่ารถที่เขาขับอยู่ 7 หลัก แล้วสถานที่นี้ก็น่าจะเป็นคอนโด
“พาทุกคนมาคอนโดเลยเหรอ”
“ถ้าบอกว่าคุณคนแรก จะเชื่อไหมล่ะ”
“ชวนขำน่าดู”
“ดีแล้ว เพราะไม่ใช่”
ผมชอบคนแบบเขาอย่างบอกไม่ถูก ผู้ชายทื่อ ๆ ที่ร้อนแรงชะมัดนี้มันน่าค้นหา เขารวบมือผมไปสอดตรงหว่างนิ้ว กำมือแน่นแล้วสาวเท้าไปอย่างรีบร้อน
ลิฟต์ที่เขากดกำลังส่งเราบนชั้น 31 เขากอดผมจากด้านหลัง พรมจูบตั้งแต่ใบหูลงมาถึงลาดไหล่ เขาไม่ได้รุนแรงกับผมเลย แต่ร่างกายผมร้อนไปหมดแล้ว
เขาปิดประตูห้องเสียงดัง เดินผ่านความมืดมาจนถึงห้องนอนแล้วผลักผมลงบนเตียงอย่างใจร้อน เขาเปิดเพียงโคมไฟสีส้มสลัว มองหน้าผมในแสงนั้นแล้วยกยิ้มบาง ๆ
เขาทำให้ผมแปลกใจ เพราะยิ้มของเขาตอนนี้ อ่อนโยนผิดจากยิ้มในร้านหรือบนรถเมื่อครู่
“กวางตัวนี้ น่ารักนะครับ”
เขาทำให้ผมเขิน แต่ก็ไม่อาจรู้ว่าประโยคและรอยยิ้มนั้นมีความหมายยังไงแน่ มือของเขาซุกซน และจูบของเขาร้อนแรงทุกครั้งเมื่ออยู่บนตัวผม
เขาถอดเสื้อของผมออก ถอดกางเกง ถอดทุกอย่างยกเว้นเขากวางบนหัว ผมพลิกเขากลับบ้าง เป็นฝ่ายถอดเสื้อให้เขา ถอดกางเกงให้ทีละชิ้น และสัมผัสกับเนื้อร้อนที่พองขยาย ผ่านผ้าผืนสุดท้ายที่ปดปิดของเขาอยู่
ผมก้มลงไปจูบกับริมฝีปากหนา บดขยี้อย่างผู้นำเกมขณะที่สอดมือเข้าใต้ร่มผ้าช้า ๆ เขากระตุกเล็กน้อย ขบกัดริมฝีปากผมตามความรู้สึก มือของเขาลูบไล้ต้นขาขึ้นมาจนถึงสะโพกของผม บีบมันช้า ๆ จนเต็มกำมือแล้วคลายออก
มือของผมครอบครองส่วนนั้นของเขา มันเต็มกำมือจนแทบกำไม่รอบ อึดอัดอยู่ใต้ร่มผ้าจนน่ารำคาญ ผมถอดปราการด่านสุดท้ายของเขาออก แสงสีส้มสะท้อนแววตาเขามายังตัวผมอย่างคาดหวัง
ผมก้มลงจูบใต้สะดือของเขา ขยับตัวจูบขึ้นมาทีละนิด พร้อม ๆ กับขยับมือในส่วนด้านล่าง เขาหลับตาพริ้ม ผมจูบเบา ๆ ที่ข้างแก้ม ไม่รู้เขายังคาดหวังอยู่ไหม แต่ว่าผม...
“อ่ะ !”
ขยับลงมาใช้ปากให้เขายิ้มออกแล้วแหละ
มือหนาลูบไล้บริเวณท้ายทอย สอดปลายนิ้วเข้าในเส้นผมของผม เขาไม่ได้กดหรือบังคับให้ผมขยับแต่อย่างใด อาจจะเพราะผมรู้งานและทำให้เขาพอใจจนต้องมองมาด้วยสายตาที่หยาดเยิ้มขนาดนั้น
เขาน่ะเป็นเสือ
ผมก็ไม่ได้ต่างจากเขาหรอก
ร่างกายของเขาอบอุ่นชะมัด แต่ของในนั้นอบอุ่นยิ่งกว่าอีก... ผมถูกพลิกให้ลงไปตามเกม เขามองหน้าผมอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ผมทำลงไป แต่ก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่กดจูบลงมา กวาดต้อนความหวานในปากที่หลากหลาย จนเป็นจูบที่ร้อนแรงและยาวนานจนผมจะขาดใจ
เขาทำแบบที่ผมทำให้เขา ความรู้สึกของปลายลิ้นชวนให้ผมเคลิ้มจนคล้ายกับลอยอยู่กลางอากาศ มือเล็กจิกลงบนลาดไหล่นั่น ครางลั่นยามเมื่อร่างเบาหวิวเป็นสะสาร
เขาไม่เว้นจังหวะให้ผมได้ทิ้งตัวลงพื้นเลยสักนิด อารมณ์ผมยังลอยเคว้งบนเมฆหมอก เขาพลิกตัวให้ผมนอนคว่ำ ความอบอุ่นทาบทับลงมาในวินาทีหลังจากนั้น เขาก้มหน้ามาจูบผม บดขยี้ริมฝีปากอีกรอบอย่างไม่รู้พอ
มือหนาเอื้อมไปหยิบของจากลิ้นชัก เสียงฉีกกล่องคุ้นหูดีอย่างไม่ต้องเดา เขาโยนของในกล่องสองชิ้นไปไว้ข้าง ๆ ส่วนอีกชิ้นเขาคงจัดการมันเรียบร้อย
บางอย่างกำลังไหลลื่นบนสะโพกของผม ความเย็นทำให้ผมเสียวไปจนสุดปลายเท้า เขาไม่เอ่ยอะไรกับผมหลังจากนั้น ร่างกายของเราต่างหากที่คุยกัน
ความคับแน่นทำให้ผมจิกเล็บลงบนที่นอน ยิ่งเขาดันสะโพกผมขึ้นแล้วรองใต้ท้องน้อยด้วยหมอน สิ่งที่แทนตัวเขายิ่งค้นหาผมได้ลึกขึ้น
“อ่ะ ..อ่ะ !!”
ผมร้อง... ครางออกมาอย่างกั๊กอารมณ์ไม่ไหว เขารู้ว่าจุดอ่อนผมอยู่ตรงไหน แล้วเขาก็แกล้งผมด้วยการเบียดชิดร่างกายเข้าไปซ้ำ ๆ
ร่างกายผมถูกเขาควบคุมอย่างสมยอม พลิกร่างขึ้นมาเพื่อมองหน้ากันอีกรอบ แล้วเขาก็ฝังตัวตนเพื่อย้ำให้รู้ ว่าคืนนี้เขาจับกวางได้อยู่หมัดแค่ไหน
ผมแทบขัดขืนอะไรไม่ได้เลย จังหวะที่เขาอุ้มให้ผมอยู่ข้างบน มือหนายังปลอบผมด้วยการลูบเบา ๆ ที่หน้าผาก ผมค้ำมือลงบนหน้าท้องของเขา ขยับเบา ๆ ผิดกับที่เขากระทำกับผม
เขาไม่ได้มองดุ แต่เขายิ้มแล้วคอยประคองเอวผมอยู่อย่างนั้น
ร่างกายผมถูกเขาโอบลงไปแนบกับอก เขาแกล้งอ่อนโยนให้ผมตายใจ เพราะหลังจากนั้น ผมก็พูดไม่เป็นภาษาอีกเลย
มือหนาประคองผมให้นอนราบอีกครั้ง เขาปิดเกมด้วยความดุดัน กระแทกกระทั้นจนนับจังหวะไม่ได้ เขาทำให้ผมลอยกลางอากาศอีกแล้ว แต่คราวนี้เขาโอบกอดผมแทนเมฆหมอกทั้งหมด
“คุณเชื่อหรือยังว่าผมไม่ได้ดีแค่ปาก” เขาถามผมหลังจากเราหายใจเป็นปกติ
ผมไม่ได้ตอบเขาไป มีแต่ความเงียบและลมหายใจเบา ๆ ของผมที่พริวไหวบนอกเขา
และอาจะเป็นเพราะผมไม่ตอบ เหตุการณ์เดิมจึงวนซ้ำอีก 2 รอบ
จนเกือบเช้า...
เขาจูบเบา ๆ ที่หน้าผากผม กระชับผ้าห่มให้ร่างกายของผมอบอุ่น ตอนนั้นผมเกือบจะหลับแล้ว แต่เพราะเขาลุกขึ้นผมจึงคว้ามือของเขาไว้
“คุณพักเถอะครับ ผมแค่จะไปหยิบชุดคลุมมาใส่ให้”
ผมปล่อยมือเขา แต่ยังมองหน้าอย่างมาคำถาม สายตาของผมทำให้เขานั่งลงข้าง ๆ
“มีอะไรครับ” เขาถามเข้าประเด็น
ผมเว้นจังหวะไปเสี้ยววินาทีก่อนจะถาม “คุณชื่ออะไรเหรอ”
เขายิ้ม แล้วลุกขึ้นช้า ๆ สองขายาวขยับเดินคล้ายจะเมินคำถามของผม แต่ก่อนจะก้าวพ้นประตูห้องนอน เขาก็หยุดแล้วหันกลับมา
“ไว้ครั้งหน้า ผมจะบอกคุณนะครับ”
“...”
“คุณแดฮวี”
.
.
.
.
Merry Christmas naja ^ ^
เอาจริงมันคริสต์มาสนได้ป่าวแก เราก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ ตั้งใจแต่งมากจนหมดเหล้าไปครึ่งขวดละอ่ะ 55555
ขอให้มีความสุขทุกคนนะคะ
แวะไปคุยกันในแท๊ก #xmasjinhwi ด้วยเน้อ
ไม่อยากแป๊กเลย T T